25 มีนาคม 2553

คาน คอ ดิน


......เปลวแดดระยิบสาดส่องลงกระทบกับฝุ่นละอองสีแดงที่คละคลุ้ง ล่องลอยอยู่ทุกอนูของอากาศในยามบ่าย เด็กน้อยในชุดเสื้อผ้าชุดนักเรียนประชาบาล มอมแมม เสื้อมีขาวขุ่น กับกางเกงสีกากีเก่าคร่ำครึ ดวงตามุ่งมั่นคู่นันกำลังจับจ้องเขม็งเกลียวมุ่งตรงไปยังกอหญ้าข้างหน้าด้วยใจจดจ่อ อย่างตั้งใจในชั่วอึดใจ เด็กน้อยรวบรวมพละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดก้าวกระโดดเต็มสุดกำลังเท่าที่มีอยู่ของเด็กน้อย อายุยังไม่เต็ม 8 ขวบ ..."ตุ๊บ" เสียงเท้าที่ห่อห้มด้วยถุงพลาสติกที่ใช้ใส่ ของทั่วไปตามร้านขายของชำ กระทบกับกอหญ้าที่หมายตาไว้ เด็กน้อยยิ้มอย่างพึงพอใจกับความสำเร็จอันน้อยนิดสำหรับผู้ที่พบเห็น แต่มันเป็นความภูมิใจอันใหญ่หลวงสำหรับเขา.อย่างน้อยความร้อนของอาทิตย์ที่แผดเผาลงมายังถนนลูกรังที่แสนทรมาน ก็ทุเลาลงบ้างกับอุ้งตีนอันกระจิดริ้ด..และบอบบางคู่นั้น.....
..... ตั้งแต่จดจำความได้ ความจนกับเรา เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ในครอบครัวที่แสนอบอุ่น..กับความขัดสนที่ชินชา..อาชีพ.."ลูกจ้าง"..ของแม่..ในร้านขายข้าวแกงเล็กๆแห่งหนึ่งคงไม่อาจทำให้ความเป็นอยู่และรายได้ มากมายขนาดเพียงพอที่จะเลี้ยงปากท้อง ของทุกคนในรอบครัว ให้อิ่มหนำสำราญได้ตลอดเดือนชนเดือน แม้มีอาชีพ พนักงานขายเรื่องใช้ไฟฟ้า..ของพ่ออีกทางหนึ่งเป็นรายได้เสริม แต่ก็ไม่สามารถ ทำให้ 6 ชีวิตภายในรอบรัวของผม มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้.แต่พวกเรา4 พี่น้อง..ก็สามารถเล่าเรียนกันจนจบระดับปริญญาและมีการงานทำเป็นหลักแหล่งได้อย่างสบาย..และเป็นความภาคภูมิใจของเรา.ที่เกิดเป็น.."ลูกแม่ค้าข้าวแกง"..
..จำได้ว่า ผมเฝ้ามองดูรุ่นพี่ กับงานเขียนแบบก่อสร้างของเขา เส้นสายที่สวยงาม ลากผ่าน ไม้ทีและเซ็ตสามเหลี่ยมลงบนแผ่นกระดาษไข เส้นแล้วเส้นเล่า เกิดเป็นรูปร่างของอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สวยงาม...ตั้งแต่นั้นมาผมจึงตัดสินใจที่จะเลือกเรียนวิชา.ช่างก่อสร้าง.. จากโรงเรียนประชาบาล (แต่แถวบ้านเรียกโรงเรียนวัด)..ตะเกียกตะกายฝันกับความหวังอันน้อยนิดที่จะก้าวเข้าสู่ โรงเรียนประจำจังหวัด..และสุดท้ายก็จบลงได้ด้วยข้าวสาร หนึ่งกระสอบพร้อมกับน้ำตา..ที่ตกอยู่ในอกของพ่อกับแม่...จึงเริ่มที่จะเรียนรู้ชิวิตของการศึกษาอย่างเต็มรูปแบบ...
จากมัธยม จุดเริ่มต้นของวิชาพื้นฐานของช่างก่อสร้าง..ก้าวสู่วิทยาลัยเทคนิคประจำจังหวัด เริ่มเรียนรู้ชีวิตชาวช่าง ..อย่างจริงจัง.ผ่านไปสามปีที่มอมแมม..ในรั้วสีน้ำเงิน จึงเริ่มเข้าใจชีวิตที่วุ่นวาย..กระเสือกกระสนตามความฝันลุ่มๆดอนๆ ระหกระเหินไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดอยู่ในความทรงจำอีกนานเท่านาน ..กว่าจะจบได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงมานอนกอดได้.มันน่าเศร้าจริงๆ จึงเริ่มรู้จักชีวิตการเป็น"คน" จริงๆเมื่อได้เข้ามา อาศัยอยู่บ้าน"คนอื่น"ถึงแม้ว่าจะเป็นญาติสนิท..แต่ยังงัยก็ไม่เหมือนบ้านของเรา

สามปีกับสองซัมเมอร์ในรั้วนักเรียนช่าง ก้าวผ่านประสพกรณ์ในการตำรงค์ชีวิตที่แสนหนักหนาและร่างกายที่ชุ่มไปด้วยแอลกอออล์จึงจบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงมาอย่างทุลักทุเล..และมอมแมม ในวันสุดท้ายของซัมเมอร์ท้ายสุด...โดยไม่รอฟังผลสอบ..เก็บเสือผ้าของใช้ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดใส่เป้ขึ้นสะพายไหล่...และร่ำลา ญาติผู้มี อุปการคุณ
จับรถโดยสารมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดด้วยหัวใจ..หดหู่โดยแยกไม่ออกระหว่างความดีใจหรือเสียใจกันแน่จากรั้วการศึกษาในวิทยาลัย ก้าวออกสู่โลกกว้างที่เรายังไม่เคยสัมผัสมันอีกมากมาย...สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด..." ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว "
ภายในศาลาประชาคมประจำจังหวัดเด็กหนุ่มวัยคะนองมากมายมารวมตัวกันเพื่อคัดเลือกทหารกองเกินประจำปี...ท่ามกลางความวุ่นวาย...ความทุกข์ใจและเสียงโห่ร้องดีใจของผู้ที่รอดพ้นจากพันธนาการของกองทัพ.....ข้าพเจ้าก้าวออกสู่หน้าเวทีศาลาประชาคมด้วยหูอันอื้ออึงด้วยเสียงเชียร์ของคนรอบข้างทั้งที่ข้าพเจ้ารู้และไม่รู้จัก สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหลับตาล้วงมือเข้าไปในภาชนะสีทึบที่อยู่ตรงหน้า.แล้วส่งให้จ่าทหารที่คอยพูดกดันข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลาด้วยหน้าตากวนบาทานั้นพร้อมตะโกนด้วยน้ำเสียงที่แสดงความสะใจอย่างเต็มที่.....ในวินาทีนั้นเสมือนโลกหยุดหมุนและหัวใจของข้าพเจ้าหยุดเต้นไปชั่วขณะ.............."ทบ.หนึ่ง"
ตื่นเช้า..นอนดึกฝึกหนัก..อดทนต่อความเจ็บใจ..เป็นไปตามชีวิตทหารเกณฑ์ที่บางคนเคยได้ยินมาบ้างแต่อาจไม่เคยสัมผัส..อย่างจริงจัง เหนื่อยแทบขาดใจความทุกข์ทรมานที่ข้าพเจ้าไม่เคยได้รับมากมายขนาดนี้มาก่อนมันวิ่งเข้ามาหาข้าพเจ้าอย่างสนุกสนาน....!!
อย่าเก็บมันไว้เลยกับความทรงจำอันเลวร้าย...แต่มันทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้..และกระตือลือล้นที่จะพยายามใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้เป็นไปตาม "กรรม"ที่ข้าพเจ้าอาจจะเคยสร้างไว้? ..ที่แม้เพียงน้อยนิด....ก็ไม่รู้ได้ว่ากระทำไว้เมื่อใด.และกับใคร?เรารู้แต่เพียงว่า ต้องชดใช้มัน....ก็เพียงแค่นั้น เราต้องทำได้..!!

เพียงก้าวแรกที่เดินบนถนน..ของวงการคน "คนสร้างบ้าน" เรารับรู้ถึงความอบอุ่นแห่งมิตรสหาย ชาวก่อสร้างทั้งที่เคยและไม่เคยรู้จักความเป็นมิตรที่ดีและการมีมิตรที่เลว ระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง การแข่งขันในหน้าที่การงานและความเหน็ดเหนื่อยในหน้าทีการงาน..ในวันหนึ่งๆกับคนงานต่างชาติพันธ์ต่างภาษาต่างพ่อแม่กว่าครึ่งร้อยชีวิต ที่ข้าพเจ้าต้องควบคุมการทำงานโดยแรงงานและฝีมือพวกเขาเหล่านั้น ให้งานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ถูกต้องตามแบบแปลนและข้อกำหนดที่ถูกวางไว้แล้วสำเร็จให้ได้ด้วยความเรียบร้อยและสวยงามที่สุด หากไม่เป็นไปตามนั้นคนที่รับผิดชอบก็คือข้าพเจ้าหาใช่คนงานเหล่านั้นไม่ แต่ในบางนาทีเราอดน้อยใจไม่ได้กับคำว่า..."ไอ้สันขวาน...พวกเทคนิคบ้านนอก"ที่รุ่นพี่ในวงการพยายามยัดให้พวกเราเด็กใหม่แทบทุกคนที่ทำงานยังไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการหรือ”วิชากู”ที่ปฏิบัติกันมานาน


แต่เมื่อข้าพเจ้ามานั่งทบทวน...ข้าพเจ้าก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้น..ต่างก็มาจากบ้านนอกเช่นเดียวกับข้าพเจ้า..แทบทั้งสิ้น..ต่างกันที่เวลาและโอกาส..ที่พวกเขามีก่อนข้าพเจ้า...แค่นั้นเอง อาคารขนาดใหญ่มากมายที่ถูกสร้างขึ้นโดยวิธีการและเทคนิคใหม่ๆที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้ มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับเด็กหนุ่มบ้านนอกอย่างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยกับรายได้ที่เพิ่มพูนขึ้นตามงานที่ทำแต่อนิจจา ข้าพเจ้าใช้เงินที่ได้มาอย่างไร้คุณค่าโดยไม่คิดถึงอนาคตมันหมดไปกับการดื่มกินเที่ยวและแสงสีของเมืองบางกอกอย่างไร้ค่า ลองถูกผิดกับชีวิตท่องเที่ยวไปในแทบทุกพื้นที่ที่มีงานก่อสร้างในประเทศไทย อยู่ในวงการก่อสร้างของหน่วยงานเอกชน งานก่อสร้างอาคารสูงและสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ กับสิ่งต่างๆรอบตัวเก็บประสบการณ์มากมายที่พบเจอกับความสุขและทุกข์ ที่วิ่งเข้าหาตัวอยู่ทุกวี่วัน ชีวิตหมดไปวันๆกับงานและเพื่อนฝูงที่มีมากมายโดยไม่เคยมองและนึกถึงอนาคตของตัวเอง ..เพาะบ่มคอนกรีตแห่งชีวิตมายาวนาน..เราจึงเริ่มคุ้นเคยและชินชากับคำว่า.."คาน-คอ-ดิน"
และเมื่อถึงจุดอิ่มตัวในตอนนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกโหยหาความเงียบสงบกว่าที่เป็นอยู่ทุกวัน ความวุ่นวายของสังคมเมืองผู้คนที่เห็นแก่ตัวความพยายามแย่งชิง เพื่อให้ได้มาของแต่ละคนซึ่งอำนาจและหน้าที่โดยไม่สนใจใครคนอื่นนอกจากความเห็นแก่ตนเอง.... ข้าพเจ้าเริ่มแยกตัวออกมาจากสังคมกลุ่มใหญ่ ย้ายแมนชั่นที่เช่าอยู่มานานอย่างคุ้นเคยออกมานอกพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป...ข้าพเจ้าเบื่อบากกอกมากในช่วงเวลานั้น ข้าพเจ้าออกจากที่พักอย่างไม่มีจิตใจชีวิตต้องทนทุกข์ทรมาน กับรถราที่ติดขัดบนท้องถนนข้าพเจ้านั่งคิดถึงท้องทุ่งนาสีเขียว ป่าเขาและลำธาร ครุ่นคิดว่าหากข้าพเจ้าตัดสินใจกลับบ้านที่จากมาเกือบสิบปี ข้าพเจ้าจะกลับไปทำอะไร จะมีงานที่ข้าพเจ้าถนัดและทำอยู่หรือไม่...คงเป็นไปไม่ได้

แว่วข่าวจากบ้านนอกจากเพื่อนรุ่นพี่โทรมาเล่าถึงถึงวงการ"อบต." ที่กำลังโด่งดัง ข้าพเจ้าจึงแอบหนีงานเก่าและเพื่อนฝูงในวงการก่อสร้างโยมิได้บอกกล่าวกับใครแม้แต่เพื่อนฝูงที่สนิทสนมที่สุด ทิ้งเงินเดือนสองหมื่นบาทซึ่งในขณะนั้นก็มากมายพอสมควรหันหลังจากเมืองบางกอก ที่แสนวุ่นวายมาสมัครสอบบรรจุเข้ารับราชการ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานช่าง กินเงินเดือนในอัตราห้าพันเจ็ดร้อยสี่สิบบาท โดยที่ไม่รู้ระบบราชการเลยแม้เพียงสักนิด.. จากนั้น .. ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จึงเกิดขึ้นในชีวิต..ของข้าพเจ้า
ฝุ่นสีแดงคละคลุ้งปกคลุมรอบรถกระบะสีดำ ที่วิ่งมาตามทางที่ทอดยาวเข้าสู่ป่าดง ที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคย และไม่เข้าใจว่ามันเป็นทางเข้าสถานที่ราชการได้อย่างไร แต่ยังดีที่มีลำธารน้ำวิ่งสวนลงมาเคียงคู่มากับถนนทำให้ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนลงได้บ้าง ข้าพเจ้าแอบยิ้มอย่างที่บอกไม่ถูก กับความรู้สึกของตนเองในขณะนี้ รู้สึกสบายใจและสดชื่นกับธรรมชาติเช่นนี้ที่ไม่ได้พบและสัมผัสมาเกือบสิบปี....ข้าพเจ้ากำลังมุ่งสู่ดินแดนในฝันของข้าพเจ้าแต่ก็ยังเดาไม่ออกว่า ก้าวต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าจะพบเจอกับสิ่งใดในท่ามกลางธรรมชาติของป่าเขาเหล่านี้

ลงจากเนินเขาพ้นโค้งต้นไม้ใหญ่ ข้าพเจ้าต้องแปลกใจ เมื่อพบกลุ่มชาวบ้านนั่งอยู่ในเต้นท์กลางสนามหน้าอาคารเล็กเก่าๆจำนวนหนึ่ง พร้อม กำนันผู้ใหญ่บ้านตั้งแถวยาวในชุดสีกากีรอรับ อย่างพร้อมเพรียงกันพร้อมป้ายผ้า ” ยินดีต้อนรับหัวหน้าส่วนโยธา” ในบรรยากาศอันอบอุ่น ข้าพเจ้าจอดรถพร้อมก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกเพราะข้าพเจ้าไม่เคยได้รับเกียรติจากใครมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย......ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า

หลังจากแนะนำตัวและตำแหน่งงานในหน้าที่ให้ทุกคนได้เข้าใจ พร้อมรับประทานอาหารที่ชาวบ้านร่วมใจกันนำมาเพื่อตอนรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นคนแรกของพวกเขาที่จะเข้ามาพัฒนาความเป็นอยู่ในด้านโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น....ท่านกำนัน พาแนะนำสถานที่โดยรอบอาคารทำการที่น้อยนิดแต่อบอุ่นด้วยน้ำใจของพนักงานลูกจ้างซึ่งก็เป็นลูกหลานของคนในพื้นที่นั้นๆเอง.พร้อมจัดหาบ้านพักให้ตามสภาพซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับข้าราชการหนุ่มไฟแรงอย่างข้าพเจ้า...หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการการงานตัวเข้ารับราชการกับทางอำเภอเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าขับรถกลับเข้า บางกอกทันทีครุ่นคิดตลอดทางว่าจะหาเหตุผลอันใด ในการลาออกจากบริษัทเก่าที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ เพราะไม่มีใครคิดว่าข้าพเจ้าจะบ้ากล้าทิ้งงานและรายได้หลักหมื่นต่อเดือนและหันหลังจากแสงสีในเมืองหลวงมุ่งสู่ป่าดงพงไพรที่ห่างไกลความเจริญ จากตัวเมือง ประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร มาเป็นข้าราชการจนๆใช้ชีวิตอย่างสบายๆอยู่กับเงินเดือนเพียงน้อยนิด กว่าจะคุ้นชิน กับระบบข้าราชการและระบบงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่น ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่หลายปีจากชีวิตที่ต้องดิ้นรน ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มาใช้ชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวันอยู่แบบชาวบ้านด้วยอัธยาศัยและไมตรีที่มีต่อกัน
ข้าพเจ้าเริ่มต้นชีวิตข้าราชการด้วยใจที่ทุ่มเท ประสบการณ์ที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทเอกชน ข้าพเจ้าจึงได้เปรียบด้วยขั้นวิธีการทำงานที่ต่างกันกับวิธีของทางราชการ งานทุกอย่างในหน้าทีจึงเสร็จลงอย่างรวดเร็วซึ่งมันก็มีเพียงน้อยนิดถ้าเทียบกับงานจำนวนมหาศาลในแต่ละวันขององกรเอกชนที่เคยผ่านมาหลายปี ทำให้ข้าพเจ้ามีเวลาเหลือที่จะพบปะพูดคุยและทำความรู้จักมักคุ้นกับขาวบ้านในพื้นที่และช่วยเหลืองานทุกอย่างที่ชาวบ้านร้องขอ ที่สามารถทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้แม้กระทั่งบางคนเจ็บป่วยไข้ในยามค่ำคืนดึกดื่น ข้าพเจ้าต้องพาไปโรงพยาบาลที่ห่างไกลในตัวอำเภอ
เนื่องจากเป็นตำบลที่ห่างไกลไม่มีแม้สัญญาณโทรศัพท์มือถือ จึงไม่สามารถที่จะติดต่อกับโลกภายนอกได้ยิ่งในหน้าฝนวิ่งในพื้นที่ป่าเขาที่นี่ตกติดต่อกันเป็นเดือน ขนาดรถยนต์กระบะธรรมดาก็ไม่สามารถเข้าออกได้ นอกจากรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อของผู้ใหญ่บ้านหนุ่มไฟแรงเพียงคนเดียวของหมู่บ้านเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือ กันไปตามอัตภาพ ในยามน้ำหลากหากสะพานไม้เก่าที่ทอดผ่านลำห้วยกลางหมู่บ้านที่แบ่งระหว่าง ทิศเหนือและทิศใต้ของตำบล ขาดสะบั้นลงด้วยแรงน้ำ ข้าพเจ้าต้องเกณท์แรงงานชาวบ้านไปช่วยกันตัดต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีอยู่มากมายในพื้นที่ป่าเช่นนี้ มาซ่อมแซมสะพานให้ใช้ได้ดีดังเดิม ชาวบ้านบางคนซึ่งขับรถมาติดอยู่ระหว่างซ่อมแซมสะพานจำเป็นต้องหุงหาอาหารการกินอยู่ริมสะพานนั่นเองจนกว่าสะพานจะใช้ได้ดังเดิมก็บ่ายของอีกวัน
หลังจากหาหนทางอยู่นานจึงติดต่อประสานงานกับผู้ให้บริการสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่มาติดตั้งตัวรับสัญญาณขนาดเล็กที่ดึงสัญญาณมาจากเสารับสัญญาณใหญ่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป จึงขอรับบริจาคคอมพิวเตอร์เก่าที่ปลดระวางแล้วจากปตท.ซึ่งกำลังวางท่อส่งก๊าซที่กำลังโด่งดั่งในขณะนั้นมา หนึ่งเครื่องซื้อชั่วโมงอินเตอร์เน็ตสำเร็จรูปนำมาใช้ และคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในหน่วยงานราชการท้องถิ่นของอำเภอนั้นจึงเกิดขึ้น ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นและติดต่อโลกภายนอกได้บ้างแล้วแม้จะไม่รวดเร็วและสมบูรณ์แบบที่สุด เมื่อสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้จึงเริ่มมีข้อเปรียบเทียบการทำงานระหว่างพื้นที่ของตนเองกับพื้นที่ๆเจริญกว่า สามารถนำมาปรับใช้กับหน่วยงานซึ่งก็ยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากผู้บริหารซึ่งในสมัยนั้น ผู้บริหารจะมาจากก กำนันผู้ใหญ่บ้านโดยต่ำแหน่งซึ่งระดับการศึกษาอยู่ในขั้นต่ำมากจึงมองไม่เห็นความจำเป็นของเครื่องคอมพิวเตอร์ ผุ้นำชุมชนเริ่มมีโทรศัพท์มือถือใช้ ชาวบ้านสามารถกู้เงินกองทุนหมู่บ้านมาซื้อโทรศัพท์มือถือและมอเตอร์ไชด์ ถนนหนทางและสะพานถูกสร้างขึ้นใหม่มีระบบน้ำประปาใช้ ไฟฟ้าเข้าถึงทุกพื้นที่


..8 ปีเต็ม เมื่อองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นชักนำความเจริญให้เริ่มคืบคลานเข้ามาในป่า จิตใจของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป ไมตรีที่มีต่อกันเริ่มเบาบางลง....และจางหา และลบเลือนไปในที่สุด ความเห็นแก่ตัวและความขัดแย้ง เดินกอดคอกันเข้ามา อย่างร่าเริง และเมื่อพรรคการเมืองใหญ่ เข้าแทรกแซง ญาติมิตรเริ่มบาดหมาง...พี่น้องเริ่มทะเลาะกัน..ชุมชนแบ่งเป็นสองฝ่าย การแข่งขันเริ่มรุนแรง.ในการเลือกตั้งครั้งต่อมา ข้าราชการกลายเป็นเครื่องมือต่อรองของนักการเมืองเลวๆ ที่พยายามดึงเราเข้าไปร่วมเพื่อหาช่องทางแสวงหาผลประโยชน์จากราชการ..ผู้บริหารเปลี่ยนไปจากฝ่ายบริหารกลับมาเป็นฝ่ายค้านข้าพเจ้าเริ่มขัดแย้งกับกับผู้นำชุมชนและผู้บังคับบัญชา จึงเริ่มรู้ว่า..ข้าพเจ้าคงอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว.....