2 มีนาคม 2555

จากป่าสู่เมือง..



.......23.00 น.ในคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มในบรรยากาศที่เหน็บหนาว..." พี่ช่างๆๆๆ..ช่วยหนูด้วย" เสียงเด็กสาวร้องเรียกด้วยอาการลนลานหวาดกลัว ปลุกข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นขึ้นโดยสัญชาติญาณ คว้าปืนพกคู้ใจที่หัวนอนเปิดประตูออกมาจากบ้านพักราชการ...แสงไฟจากถนนพอมองเห็นเด็กสาวหน้าตามอมแมนใอ้อมกอดมีห่อผ้าห่มเก่า หุ่มห่อเด็กน้อย ปากแห้งหน้าซีดซึ่งซมพิษใข้แม้ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ทางการในด้านการแพทย์แต่รับรู้ได้..."ลูกหนูมันเป็นอะไรไม่รู้พี่ มันตัวร้อนตั้งแต่เมื่อวานนี้ พ่อมันก็ไม่อยู่ ไปรับจ้างหักข้าวโพดมาสามวันแล้ว พี่ช่วยหนูด้วย " เร็วเท่าความคิดข้าพเจ้าโดดคว้ากุญแจรถโฟร์วิลไดร์คันน้อยคู่ใจพร้อมเสื้อคลุมกาย....เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มในความเงียบและแสงไฟที่พุ่งทะยานฝ่าความมืดตามถนนลูกรังและป่าไพร โดยปราศจากคำพูดใดๆ

.......... ปี 2548 การเมืองที่กำลังอยู่ในยุครุ่งเรื่องและการแข่งขันระหว่างขั้วอำนาจเก่าและใหม่ ที่เป็นไปอย่างดุเดือดชิงไหวพริบ เลห์เหลี่ยมและกลยุทธ์ทางการเมือง การแย่งชิงมวลชลที่แสนวุ่นวาย ข้าพเจ้าต้องทำงานอย่างระมัดระวังมากขึ้นและพร้อมที่จะรับปัญหาเรื่องร้องเรียนได้ตลอดเวลา....สังคมเปลี่ยนแปลงไปทุกนาทีความขัดแย้งเกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่ จากหมู่บ้านและชุมชนที่อบอุ่นด้วยไมตรีแห่งพี่น้องบ้านป่าเขา น้ำใจและรอยยิ้มเริ่มเหือดแห้งหายไป....ทุกวัน

.........วันที่ข้าพเจ้าจากมา ไม่มีพิธีการและงานเลี้ยงส่งใดๆมีเพียงบรยากาศกาศเป็นกันเองของพวกพ้องที่สนิทและลูกน้องที่เคารพนับถือเราที่หน้าบ้านพักราชการของข้าพเจ้า โดยปราศจากนักการเมืองและผู้นำชุมชนแม้เพียงคนเดียว..ในคืนก่อนวันเดินทาง...แม้หลายคนที่จะพยามตามมาส่งข้าพเจ้าในที่แห่งใหม่ที่ข้าพเจ้าจะย้ายลงมาในเมืองแต่ข้าพเจ้าปฏิเสธพวกเขาโดยสิ้นเชิง..!!!

........8 ปีที่ผ่านมาสองข้างถนนทางหลวงแผ่นดินสายที่เชื่่อมต่อระหว่างอำเภอกับตัวจังหวัดตลอดระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรเปลี่ยนแปลงไปมากมายจากที่เคยมีความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม่นานาชนิด บัดนี้กลับกลายเป็นห้องแถว..และเพิงขายสินค้าชุมชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายๆแห่งที่สร้างขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลด้วยงบประมาณมหาศาล แต่ 80 เปอร์เซ็นต์ถูกปล่อยให้ทิ้งร้างว่างเล่า ..มองดูขัดสายตาพิกลในความคิดของข้าพเจ้า....ขับรถด้วยใจเหมอลอยคิดทบทวนกับเหตุการณ์หลายเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์ที่ผ่านไป ความรู้สึกในตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกในขณะที่ขับรถขึ้นมารับราชการในวันแรกเมื่อแปดปีที่แล้วทำไมมันจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...หรือเป็นเพราะตัวข้าพเจ้าเองที่ไม่ยอมปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์และสังคมรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไป

.........ในความรู้สึกลึกๆ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจระหว่างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในสังคมเมือง ที่แฝงด้วยอำนาจลึกลับและการต่อสู้กับความเป็นจริงตรงหน้า ต่างกันโดยสิ้นเชิง..! กับสังคมและชุมชนที่ห่างไกล ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่ใจกับวามเปลี่ยนแปลงมากนัก คิดแต่เพียงว่าจะทำงานในหน้าที่ของตนเองในบทบาทของ"้ข้าราชการ"ให้ดีที่สุดแค่นั้นเองจริงๆ

........บรรยากาศวุ่นวายที่คราคร่ำด้วยผู้คนในงานเลี้ยงที่ศาลาประชาคมประจำหมู่บ้านในเทศกาลสงกรานต์ ผู้นำชุมชนและชาวบ้านต่างทยอยกันเข้ามาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสุขและต่างทักทายกันอย่างสนุกสนาน
" ไอ้ช่างมันหายไปไหนว๊ะแม่งเอ้ย ชาวบ้านมากันจนเต็มแล้วมันยังไม่โผล่หัวมาอีก แล้วเครื่องเสียงมันเป็นอะไรว๊ะ แม่งเสียงเหมือนหมาเยี่ยวรดสังกะสี " เสี่ยงชายวัยเลยกลางคนผมสีดอกเลา หน้าตาแดงด้วย ฤทธิ์แอลกอฮอล์ ก่ำเดินสบท ด่าและโวยวายอยู่หน้า เวทีดนตรีคาราโอเกะ ขนาดย่อมๆที่กำลังได้รับความนิยม และเสียงร้องเสียงสูงโหนคีย์ ของกลุ่มสตรีแม่บ้าน ดังกระท่อนกระแท่น
........ข้าพเจ้าก้าวเข้ามาในงานโดยที่ทุกสายตาในงานเลี้ยงเพ่งมองมาที่ข้าพเจ้าเหมือนเป็นแขก วีไอพี ข้าพเจ้ายิ้มด้วยไมตรีให้ทุกคนพร้อมยกมือไหว้ วูบหนึ่งในความคืดข้าพเจ้ามีความรู้สึกแปลกในแววตาของหลายคนที่มองมายังข้าพเจ้า เด็กเดินมาเรียกและนำให้ข้าพเจ้าไปนั่งที่โต๊ะกลางซึ่งมีผู้บริหาร กำนันผู้ใหญ่บ้านและผู้นำชุมชนนั่งอยู่กันพร้อมเพรียง ข้าพเจ้าไหว้ทักทายทุกคนและนั่งลง......"มึงไปไหนมาว๊ะ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วมึงเพิ่งจะโผล่พัวมาไอ้ฉิบหาย"...ในสมองอันอื้ออึงข้าพเจ้ารู้สึกถึงความร้อบผ่าวบนใบหน้า ข้าพเจ้าพยายามตั้งสติ มองไปรอบตัวเสมือนว่าทุกสิ่งอย่างภายในงาน กำลังหยุดเคลื่อนไหว..."ใจเย็นๆครับท่านรองฯมีไรค่อยๆพูดจากันก็ได้..มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือครับ.." ชายผมสีดอกเลาคนนั้นในสภาพหน้าแดงก่ำยืนเท้่าสะเอวชี้หน้าข้าพเจ้า อย่างกับข้าพเจ้าเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตาย .."มึงไปไหนมา ?" เสียงคำรามสำรอกออกมาจากปากชายผมสีดอกเลาคนนั้น......."ผมก็จัดการทุกอย่างไว้แล้วก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็กลับมานี่ล่ะครับพอดีว่าเทศกาลรถมันติดมากเลยครับวันนี้เลยมาช้าไปนิดนึงแต่ก็สั่งลูกน้องไว้แล้ว งานก็เรียบร้อยดีมีอะไรติดขัดหรือครับ"..."ไอ้เหี้ย มันอายเค้ามั้นดนตรี อบต.เสียงยังกับหมาเยี่ยวรดสังกะสี "...แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่ครับอย่างอื่นก็เรียบร้อยดี เด็กๆมันยังปรับไม่ค่อยเป็นเครื่องเสียงมันยังใหม่เดี๋ยวผมขึ้นไปปรับให้แป๊ปเดียวครับ..." ข้าพเจ้าพยายามอธิบายให้ฟังแตดูเหมือนไม่เป็นผล.."อ๋อมึงขึ้นเสียงกับกูเหรอ ? " ดูเหมือนว่าเหตุการณ์กำลังเลวร้ายลง .."ป่าวนี่ครับมีไรก็ค่อยๆตุยกันก็ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ผมขอโทษเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีกว่าครับ"..."ไอ้สัตว์..เดี๋ยวนี้กูด่ามึงไม่ได้เหรอ"....ในวินาฑีนั้น สมองและสติสัมปัญฌัญญะของข้าพเจ้าก็ขาดผึงลง.....ข้าพเจ้าทะยานเข้าใส่ชายสถุนผู้นั้นทันที...!!!